หลังโควิด-19 จบ คิดว่าตลาด สังหา อสังหา จะมีแนวโน้วในแต่ละบริบทอย่างไรครับ

ตอนนี้คงไม่มีใครคาดการณ์ุถึงการสิ้นสุดของโควิดได้ จะกี่เดือนหรือถึงปีหน้า ท่านทั้งหลายพอจะเกร็งออกไหมครับว่าตลาดเหล่านี้แบ่งเป็นระดับ บริบท หรือกลุ่มต่าง ๆ ก็ได้จะเป็นอย่างไร

ผมได้คุยกับนักลงทุนมือสมัครเล่นหลายท่าน ให้ความเห็นผมว่า กลุ่มตลาดentry อาจจะขายได้เฉพาะรุ่นเริ่มต้นหรือ ยี่ห้อรุ่นที่เพียงพอ เป็นจำต่อการใช้งาน

ส่วนตลาดบ้านแนวตั้งน่าจะเงียบยาวๆ   แต่สำหรับตลาดบ้านลักซูรี่และคอนโดราคาแพง และบ้านแนวราบในเขตเมือง ไม่น่าได้รับผลกระทบ

มีความเห็นกันอย่างไรครับ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
ตลาดอสังหาซึมมานานกว่า 4 ปีแล้ว มีการปรับตัวมานานแล้ว ไม่ได้มา shock ตอน COVID
สภาวะอสังหาซบเซามีมาตั้งแต่ปี 40 (ต้มยำกุ้ง) ปี 50 (Subprime) แต่รอบนี้นานกว่าปกติ
ถามว่า ผลกระทบจาก COVID มากไหม มีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหา
ที่เป็นอยู่แล้ว

ช่วงนี้มีกระทู้ทำนอง อสังหาราคาจะลดลงหรือไม่ หลายคนอาจรอให้ราคาอสังหาลดลงค่อยซื้อ
อสังหาอยุ่ที่ ทำเล ทำเล และทำเล ราคาไม่หวือหวา แต่ยังไปได้
ถ้าทำเลไม่ดี ช่วงที่อสังหาบูม พอจะมั่วไปได้ แต่ในช่วงอสังหาซบเซา ใครไม่เก่งอยู่ในตลาดไม่ได้

ขอตัดอสังหาในทำเลที่ไม่ดี เพราะทำเลไม่ดี ลดแล้วก็ยังไม่น่าซื้อ เว้นแต่เป็นทำเลที่คลิ๊กสำหรับ
บางคน เช่น ใกล้ที่ทำงาน

สำหรับอสังหาในทำเลที่พอใช้ได้ ถึงใช้ได้ ราคาอาจลดลงในระยะสั้น แต่ไม่มาก
เราเห็นมีโปรโมชั่นลดราคาของเกือบทุกค่าย นั่นเป็นกลยุทธ์
ถ้าจะวิเคราะห์การลดราคาของแต่ละค่าย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
1. ลดจริง แต่ช่วงสั้น ๆ ลดเพราะต้องการ exit ออกจาก segment ไม่ได้อยู่ในแผน
ของบริษัทอีกต่อไป (ในช่วง 4 ปีของตลาดที่ซบเซา แต่ละ segment มีการเปลี่ยนแปลง
อยู่พอสมควร ถ้าเรียนรู้จากการอ่านหนังสือ อาจหลงทาง เพราะตอนอ่าน segment นั้นดี
ใช่ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว)
2. ลดไม่จริง หรือลดเล็กน้อย ประมาณก่อนลดก็ปรับราคาขึ้น แล้วประชาสัมพันธ์ว่าลดราคา
มีหลายค่าย เห็นลดทั้งปี แต่พอไปไล่ราคาย้อนหลัง เช่น ราคาเปิดตัววันแรก ไม่ได้ไปไหนเลย
ผมขับรถผ่านคอนโดบางโครงการ ผมเห็นลดไป ลดมา ราคายังเท่าเดิม หรือบางโครงการ
ลดไปลดมา ราคาสทธิกลับขึ้น

ที่เป็นอย่างนี้ เพราะ
1. ภายหลังจากตลาดอสังหา ซบเซามานาน บริษัทอสังหามีการปรับตัว ที่อยู่ได้ก็แกร่งพอตัว
ไม่ได้ shock แบบต้มยำกุ้ง คือ ลดค่าเงินบาทวันเดียว ไปหมด เพราะสมัยนั้นกู้เงินจากต่าง
ประเทศ ลดค่าเงินบาทปุ๊บ ค่าเงินไหลจาก 30 บาทเป็นเกือบ 60 บาท หนี้เพิ่มเป็น 2 เท่าไม่ว่า
เจ้าหนี้หยุดปล่อย  ใครจะทนอยู่ได้แต่อย่างที่ ให้ความเห็นในข้างต้น 4 ปีที่ผ่านมา ในแต่ละ segment
มีความผันผวน อาจมีหลงทาง และยอมลดราคาบ้างในระยะสั้น เพื่อปรับตัว

2. แหล่งเงิน ต้มยำกุ้ง กู้เงินจากต่างประเทศดอกถูก เจอลดค่าเงิน พังพินาศ แต่ปัจจุบัน บริษัทอสังหา
มีการวางแผนทางการเงินมากขึ้น แหล่งเงินกู้ก็มีหลากหลาย ดอกเบี้ยไม่สูงมาก และมีการกระจายความเสี่ยง
ถามว่าระดมเงินทุน ดอกเบี้ยไม่สูงได้เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของไทยช่วงหลัง ๆ แทบต่ำติดดิน
ยิ่งแบงค์ชาติ ลดดอกเบี้ยนโยบายมาก ๆ ดอกเบี้ยยิ่งต่ำลง ๆ ตลาดหุ้นก็อยู่ในช่วงขาดทุนกันระเนระนาด
ดอกไม่กี่เปอร์เซ็นต์ก็ระดมได้แล้ว เพราะคนมีเงินไม่รู้จะเอาเงินไปหาผลตอบแทนอะไร แล้วแห่งเงินกู้
อย่างหุ้นกู้มี term ของมันอยู่ หรือเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิด้วย จะไปเรียกคืนก่อนกำหนดไม่ได้ ถ้าจะไม่ถือ
ก็ต้องผ่านช่องทางอื่น

3. ดอกเบี้ยภายในประเทศ สมัยต้มยำกุ้ง ดอกเบี้ยเงินฝากเคยเห็นหรือไม่ ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
สูงกว่าร้อยละ 12 ต่อปี ใครมีเงินฝากก็สบายในช่วงนั้น ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่าร้อยละ 10 ต่อปี
ใครยังทนได้ก็ให้มันรู้ไป ส่วนลูกค้าผ่อนบ้านสมัยนั้น แต่ผ่อนดอกก็ไม่ค่อยจะรอดแล้ว แต่ปัจจุบัน
ดอกเบี้ยเงินกู้น้อยกว่าเยอะ ยิ่งแบงค์ชาติลดดอกเบี้ยนโยบายหลายรอบ และอาจลดอีก ดอกเบี้ย
เงินกู้ก็จะลดลงอีก

3. ข้อ 1 - 3 เป็นประเด็นเรื่อง developer และตลาดอสังหามือหนึ่ง ส่วนตลาดอสังหามือสอง
หลายคนเห็นว่า ปัญหาเศรษฐกิจทำให้ผ่อนไม่ไหว ต้องขายต่อในราคาถูก เป็นไปได้ยากมาก ๆ ๆ ๆ ๆ
ใส่ไม้ยมกหลายตัวเลย เพราะ
(1) ถ้าคนที่เคยผ่อนคอนโดจริง จะทราบว่า ผ่อน 2-3 ปีแรก ผ่อนแต่ดอกเบี้ย เงินต้นไม่ลด เช่น
กู้มา 2 ล้าน ผ่อนมา 2 ปี ยอดหนี้ยังมากกว่า 1.9 ล้าน จะขายให้ถูกกว่า 1.9 ล้านได้อย่างไร
เพราะตอนขาย ลูกค้าต้องตีเช็คไปธนาคารตอนไปไถ่ถอนที่กรมที่ดินตามยอดหนี้ ถ้าขายต่ำกว่า
1.9 ล้าน จะเอาเงินที่ไหนมาเพิ่มให้ได้ 1.9 ล้าน แต่ถ้าคอนโดราคา 2 ล้าน อยู่มา 2 ปี ลดแค่
1 แสนก็หาคนซื้อยาก นั่นเป็นที่มาว่า ผ่อนไม่ไหว ลงประกาศขายตั้งนานยังขายไม่ได้ แล้ว
มีคนให้ความเห็นว่า ที่ขายไม่ได้เพราะราคาไม่ถูกจริง ใช่ แต่ลดราคาไม่ได้ เพราะถ้าลดต่ำกว่า
ยอดหนี้ก็ไม่มีเงินไปไถ่ถอน
(2) ประเด็นที่ว่า รอซื้อมือสองจากคนที่ผ่อนต่อไม่ไหว จึงยาก เว้นแต่คอนโดเก่าที่อยู่มานาน
กว่า 3-4 ปี ซึ่งมูลค่าของคอนโดก็ตกลงไปเหมือนกัน ถ้าไม่ได้อยู่ในทำเลที่ดี (จึงเป็นที่มาที่ว่า
คอนโดอยู่ที่ ทำเล ทำเล และทำเล)

4. ส่วนประเด็นที่ว่า Developer ขาดทุน ลูกค้าเป็นหนี้เสีย ส่งผลให้ธนาคารขาดทุน ทำให้
ราคาอสังหาลดลง ธนาคารในปัจจุบัน ไม่ใช่ตาสีตาสาเหมือนเมื่อก่อน หลังเกิดต้มยำกุ้ง
มีระบบบริหารความเสี่ยง ผลประกอบการใน 20 ปีที่ผ่านมา มีแต่กำไร กำไร และกำไร
แม้แต่ในช่วงตลาดอสังหาซบเซา กำไรก็มีแต่เพิ่ม ธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งกำไรหลาย
หมื่นล้าน

5. ประเด็นที่ว่าคนผ่อนต่อไม่ไหว แล้วปล่อยแบงค์ยึดเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แล้วห้องยึด
ปล่อยสู่ตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ จะฉุดราคาลงหรือไม่

ขอให้ความเห็น ดังนี้
(1) สมัยต้มยำกุ้ง แทบทุก bank ไม่มีระบบบริหารความเสี่ยงเอาเสียเลย แต่ปัจจุบัน
ทุกแบงค์มีระบบบริหารความเสี่ยง ก่อนและหลังปล่อยกู้จะมีการ
ประเมินสถานะความเสี่ยงตลอดเวลา เช่น หากพบว่าหนี้เสียเกินเปอร์เซ็นต์ที่
กำหนด ก็จะปรับเกณฑ์การปล่อยกู้ให้เข้มขึ้นเรื่อย ๆ  คือ ปล่อยยากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ได้ปล่อยแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ดังนั้น โอกาสที่แบงค์จะปล่อยสินเชื่อจน
หนี้เสียเยอะ ยากมาก ๆ

2. ถ้าเราลองไปดูสินทรัพย์ NPA ของแต่ละแบงค์ หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์
ไม่ได้มาก และราคาไม่ได้ถูก ส่วนใหญ่หาซื้อที่ปล่อยขายในตลาดได้ถูกกว่า ทั้ง ๆ ที่
คอนโดที่ซื้อขายในตลาดสภาพห้องยังเป็นห้องที่อยู่อาศัย ไม่โทรมเหมือนห้อง
ร้างที่ไม่มีคนอยู่เป็นเวลานาน ที่เป็นอย่างนี้ เพราะจากประสบการณ์ต้มยำกุ้ง
ยังมีคนจำนวนมากที่มีเงิน รอซื้อของถูก มีของถูกเข้ามาซื้อเก็บหมด เหลือ
สินทรัพย์ NPA อย่างที่เห็น ทำเลไม่ดี (ทำเลไม่ดีไม่ขอกล่าวถึงตามที่ให้ความเห็น
ในข้างต้น) ราคาซื้อไม่ลงอย่างที่เห็น  ๆ

ราคาอสังหาจึงอาจลดลงบ้าง จากการโปรโมชั่นของแต่ละค่าย แต่คงไม่ลดลงมากมาย
ตลาดมือสอง หากโครงการของผู้ซื้อยังเป็นการกู้ ผ่อนมา 2-3 ปี ต้นไม่ค่อยลดก็ไม่รู้จะ
ขายต่ำกว่ายอดหนี้ได้อย่างไร ส่วนตลาดอสังหาประเภทที่ดิน บางครั้งได้จากมรดก
ตกทอด จะขายลดราคาเท่าไหร่ก็ได้ ราคาถูกอาจมีให้เห็นบ้าง
ความคิดเห็นที่ 2
ลดลง
โครงการไม่ลด แต่คนผ่อนผ่อนไม่ไหวยอมให้ธนาคารยึดเยอะขึ้น
ถ้าคิดว่าไม่หนักเท่า 40 อาจจะคิดผิดก็ได้เพราะ 40 มันพังพินาศทีเดียวแล้วมาฟื้น

แต่นี่ค่อยๆพังทีละอย่างทีละกิจการโดยเฉพาะห้าง สายการบิน ร้านอาหาร ร้านค้า โรงงาน เพราะคนงานเกินความจำเป็นคนเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต
กิจการลดคนที่ไม่ต้องการ ตกงานเยอะขึ้น ค้าขายออนไลน์คู่แข่งมากขึ้น รายใหญ่เข้ามาจับจากนั้นรายเล็กค่อยๆตาย
สุดท้ายมันมาลงที่ธนาคารรับหนึ้เสียจำนวนมากทั้งบริษัทและประชาชน ธนาคารต้องขายสินทรัพย์ที่ยึดเพื่อปิดหนี้เสีย
วงจรนรกจะยาวนานกว่าเดิม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่